วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด!!

วันจันทร์ที่ผ่านมา
รพ.เริ่มระบบHOsXPอย่างเป็นทางการวันแรก
นั่นหมายถึง
OPDจะเริ่มใช้ระบบนี้วันแรก

และหมอยุ่งก็ได้เป็นผู้โชคดี ถูกรางวัล
ได้เป็นแพทย์เฝ้าOPDในวันนั้นด้วย

เช้ามาตรวจ
คนไข้ไปเรื่อยๆ
ยังเข้าใจว่าวันนึงๆตรวจคนไข้ประมาณหกสิบคนต่อวัน
ดูตัวเลขคนไข้สี่สิบคนแล้ว
เลยชิวๆ..สบายๆ..

ตรวจไปจนเจ้าหน้าที่ที่รักมาถาม..
หมอจะพักก่อนมั้ย?

งง? พักอะไร?
มองนาฬิกา
บ่ายโมงแล้ว
มองรายชื่อคนไข้
ยังเหลืออีกเยอะ
คิดถึงคนไข้ที่จะไม่มีรถกลับบ้าน
คนไข้ที่รอตรวจแต่เช้า
แล้วทำใจตอบเป็นอื่นไม่ได้นอกจาก
ไม่เป็นไร ตรวจต่อ ไม่พัก
คนอื่นผลัดกันไปกินข้าวแล้วกัน

ตรวจไปเรื่อยๆ
รีบกว่าปกติเล็กน้อย
แต่รีบมากจนละเลยคนไข้ไม่ได
"เพราะไม่ว่าคนไข้จะมากขนาดไหน
สิ่งที่หมอทำได้ และต้องทำก็คือตรวจไปเรื่อยๆ..เท่านั้น
ไม่ใช่ตรวจเร็วๆให้เสร็จๆไป"

ตรวจจนมีเสียงประกาศอุบัติเหตุหมู่
อยากลุกไป(มุง)ดูและทำหน้าที่ช่วยเหลือตามแผนใจจะขาด
แต่คนไข้ที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
มันกดดันให้กระดุกกระดิกไปไหนไม่ได้

ถามพยาบาลที่เข้ามาถามเรื่องการดูแลคนไข้อุบัติเหตุ
ก็พอจะเดาได้ว่าหมออีกคนคงยุ่งมาก
เลยต้องมาถามทางนี้
พยาบาลบอกว่ายังไม่ต้องไปช่วยก็ได้
ส่วนมากเป็นแผลเย็บไม่ใช่ใส่ท่อช่วยหายใจ

เลยได้แต่นั่งตรวจไปเรื่อยๆ
ตรวจโดยที่มีคนเอาข้าวมาให้ตั้งสองชุด
(ดีใจนะเนี่ย..ได้ตั้งสองชุดแน่ะ)
แต่ไม่ได้กิน
กินไม่ทันคนไข้เข้ามาหา

หน้ามองแต่หน้าจอ
หน้า ท้อง อก ของคนไข้

จนไม่รู้กี่โมง
มีโทรศัพท์มาถามว่าจะให้ขอเป็นโอทีเลยมั้ย
ห้าโมงกว่าแล้ว

เกือบตอบว่าไม่ต้อง
แต่พอเหลือบมองหน้าจอ คนไข้อีกสิบกว่าคน
มองนาฬิกา
คิดถึงคนที่ต้องอยู่เย็นกะเรา(พยาบาล เจ้าหน้าที่ห้องตรวจ)
อืม..เอาเลย!

ตรวจจนเสร็จ
มองนาฬิกา ทุ่มกว่า
ใจนึงอยากลองระบบให้คล่องมืออีกหน่อย
แต่ตาลาย ไม่ไหวแล้ว
เดินกลับบ้านอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว

เช้าวันต่อมาวันอังคาร
มีคนไข้เบาหวานด้วย

มาถึงตรวจไปเรื่อยๆ
ตรวจคนไข้เบาหวานด้วย
โดยคนไข้เบาหวานยังไม่เข้าระบบ

แน่นอนว่าการทำอะไรที่ครึ่งๆกลางๆ
อย่างกลุ่มนึงอยู่ในคอมฯอีกกลุ่มอยู่ในกระดาษนั้นยากมาก และวุ่นวายสิ้นดี
ทำเอาหงุดหงิดอย่างเปิดเผย
"เหวี่ยง"ใส่เจ้าหน้าที่ที่รัก ไปอย่างไม่น่าให้อภัย
(แต่เพราะเป็นตัวเองทำ เลยแอบให้อภัยตัวเองอยู่เงียบๆ)

แอบได้ยินเสียงคนไข้บางคนโวยวายหน้าห้องตรวจ
เรื่องคิว เรื่องได้ตรวจช้า

และแอบดีใจที่ได้ยินคนไข้ช่วยกันอธิบายให้เข้าใจ

มีคุณตาคนนึงเข้ามาตรวจ
โดยพนมมืออยู่เกือบตลอด
ปากที่ว่างจากการเล่าอาการและตอบคำถามหมอ
มีแต่พร่ำอวยพร แบบที่หมอฟัง"บ่ฮู้เฮื่อง"
ได้ยินแว่วๆ ว่าเทวดาๆ

จนฟังออกตอนท้ายว่าแกชื่นชมว่าเราอดทนตรวจไม่ได้กินข้าวกินปลา
เหมือนเทวดามาโปรด

เลยมองย้อนมา
เราคิด ว่าเราทำหน้าที่ และเรารับผิดชอบการทำหน้าที่ช้าของเรา
ด้วยการสละเวลาพักเป็นการชดใช้ให้ แถมยังเบียดเบียนเวลาพักของเจ้าหน้าที่คู่ใจอีกหลายคน

แต่การรับผิดชอบของเรา ในสายตาคนไข้ หลายคน
มันคือการเสียสละ
และเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่เสียด้วย

เมื่อมองในมุมของคนไข้
คิดถึงเหตุผลที่ทำให้คนไข้มองแบบนั้น
เรากลับได้สาเหตุที่เราไม่เคยคาดมาก่อน

เหตุผลง่ายๆ แต่เราไม่ได้คิด

ในขณะที่เราคิดว่าเราทำหน้าที่รักษาคนไข้
คนไข้กลับคิดว่าเขาทุกข์ และจำเป็นต้องมาหาหมอ เพื่อหาทางแก้ทุกข์

เราคิดว่าเราทำหน้าที่ เสร็จแบบไหนไม่สำคัญ แต่ทำเสร็จแล้วจบไป
บางคนคิดว่า หมดเวลาทำงานแล้วจบด้วยซ้ำ
แต่สำหรับคนไข้ เขาทุกข์ การจบแบบไหน เสร็จแบบไหนจึงสำคัญมาก
เพราะนั่นหมายถึงชีวิตในอนาคตของเขา

นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้การรับผิดชอบตามหน้าที่ของเรา
กลายเป็นการเสียสละเข้าขั้น"เทวดา"สำหรับคนไข้
เพราะนั่นคือการ เสียสละเพื่อให้เขาพ้นทุกข์นนั่นเอง
แน่นอนว่าเทวดาองค์เดียวช่วยเขาไม่ได้
แต่บังเอิญเทวดา"หลายองค์"มาช่วย
ทั้งเทวดาห้องบัตร เทวดาซักประวัตื เทวดาหน้าห้องตรวจ และเทวดาห้องยา ช่วยกันเสียสละช่วยเขาด้วย
นั่นทำให้ภารกิจช่วยโลกของเราผ่านพ้นไปด้วยดี

และแล้ววันอังคารก็จบลงด้วยOPDเสร็จห้าโมงเย็น(กว่าๆ)


แอบดีใจทำเวลาเร็วกว่าเดิม
โดยมีลงนัด
ลงประวัติลงตรวจร่างกาย และลงวินิจฉัยได้ละเอียดขึ้
(คิดเองนะ)

อยากบ่น
แต่บ่นมากไม่ได้
เพราะถ้าเราบ่น
HOSXPอาจล่มไปตามคำบ่นของเราด้วย

เราปฏิเสธไม่ได้ว่าระบบจะช่วยเราได้เยอะ
และมันจะมีประโยชน์กับคนไข้ถ้าเราใช้ได้คล่อง

ตลอดเวลาที่คนไข้เข้ามา
คนไข้บางคนถามว่าขึ้นระบบใหม่เหรอ ช้าจัง
เราตอบว่า
"ตอนแรกจะช้า ตอนหลังจะเร็วขึ้น เรากำลังพัฒนา
คุณโชคดีที่มาวันประวัติศาสตร์ต่อไปจะได้ไปคุยได้เลยนะเนี่ย"

เพราะHOSXPไม่ผิด
ผิดที่เราไม่คุ้นกับมัน
คนเซ็ทระบบก็ไม่ผิด
ผิดที่เราไม่เข้าไปช่วยเขาตั้งแต่แรก
มันเลยเกิดปัญหาขึ้น

ดังนั้น การแก้ต้นเหตุ
คือการเรียนรู้และสร้างความคุ้นเคยให้ดีที่สุด เร็วที่สุด
จึงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเพื่อน
ในการนี้

บทเรียนจากสองวันนี้
ทำให้เราพบว่า

1.การเริ่มนั้นยาก และยากยิ่งกว่า ถ้าการเริ่มนั้นเป็นการเริ่มไป"ด้วยกัน"
2.การเริ่มไปด้วยกันนั้นยาก แต่ความยากนั้นลดลงได้มาก ถ้ามันเป็นการเริ่ม"ด้วยกัน"อย่างแท้จริง
3.กำลังใจจากคนไข้ที่เริ่ม"ด้วยกัน"กับเรา ช่วยเราได้เยอะ
ลองคิดดูสิคะ เราตรวจถึงทุ่มกว่าก็จริง แต่ยังมีคนไข้ที่ทนนั่งรอให้เราตรวจเลยนะคะ
คนไข้ของเราน่ารัก และให้ความร่วมมือขนาดไหน
และที่สำคัญ ความจริงที่คนอื่นคงไม่รู้ ก็คือ
คนไข้ทุกคนที่เข้าพบหมอยุ่งวันนั้น และวันอังคาร
ไม่มีใครบ่นช้า หลายคนตื่นเต้นที่เห็นรพ.พัฒนาด้วยซ้ำ
และเสียงหลายเสียงที่บอกว่า คนไข้ก็มากดี หมอก็ตรวจ(ได้ตรวจ)ดี
ฟังแล้วรู้สึกอะไรๆมันดีจริงๆ
4.งานที่เริ่มด้วยความยาก จบท้ายเมื่อมันผ่านไปได้ มันทำให้"ใจสบาย"ได้มากกว่างานง่ายๆหลายเท่า
5.การที่เราทำหน้าที่เราให้ที่ดีสุด
คือการดูแลคนไข้ ทีมก็ยินดี(ลำบาก)ไปกับเราด้วย คนไข้ก็ยินดี(มั้งนะ)ลำบากไปกับเราด้วย
คิดดูสิ แค่หมอตรวจต่อไปเรื่อยๆ พยาบาลก็อยู่กับเรา คนไข้ยังรอให้เราตรวจ
เราไม่ได้อยู่คนเดียวสักหน่อย ถ้าเราทำหน้าที่ ทำดี ความดีมันแสดงออกมาเอง
ความดีมันเรียกพวกพ้องของมันมาเอง สิ่งดีๆจะเกิดขึ้นเอง ความรู้สึกดีๆ ก็จะกลายเป็นรางวัลของเราเอ

อยากให้มี"แบบนี้" บ่อยๆ
แบบนี้ ที่หมายถึงการทำอะไร"ด้วยกัน"
อะไรที่ทำให้ เราแต่ละคนทำหน้าที่ของเราได้ดีที่สุด เต็มที่ที่สุด
และทำให้เกิดผลที่ "น่าจดจำ"(จริงจริ๊ง)ที่สุด
ประทับใจที่สุด
เกิดเป็นประสบการณ์สุดๆ ที่ทำให้เกิดความรู้สึก "วิเศษ"สุดๆ
และทำให้เราทุกคนรู้สึกว่า อยากจะทำให้มันสุดๆไปเลยกันสุดๆ

จบแบบสุดๆ
สวัสดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น