วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

อันว่าสุรา..และยาสูบ.

เพราะเป็นเด็กที่โตในยุครณรงค์สุรา บุหรี่..

จึงนับได้ว่าตัวเราโชคดีอย่างยิ่ง..ที่ได้รับรู้ความ"ไม่ดี"แต่เนิ่นๆ

และด้วยโชคดีชั้นที่สองที่ป่าป๊าแสนดีไม่ข้องเกี่ยวกับทั้งคู่

จึงเท่ากับถูกปลูกฝังไปในตัวให้ห่างไกลคู่หูทำลายล้างคู่นี้..

เพราะรู้ว่าไม่ดี..และไม่สัมผัส..

เลยไม่รู้..ว่าความเลวร้ายของทั้งคู่มันมากกว่าที่เรารับรู้..

และศัตรูตัวร้ายคู่นี้มีอำนาจเกินกว่าที่เราคาดคิด

จนได้มาทำงาน..ไ้ด้พบเห็นผู้คนที่ติดสุรา ยาสูบ

จึงตาสว่าง..

เป็นความจริง..ที่อุบัติเหตุบนท้องถนนที่ทำให้เกิด"ผู้ป่วยหนัก"

เกือบร้อยทั้งร้อย..มีสุรามาข้องเกี่ยว..

และยิ่งน่าเสียดาย..ที่บางราย..คนเจ็บที่สุด..ไม่ใช่คนดื่ม..

เป็นความจริง..ที่กรณีทำร้ายร่างกายรุนแรงถึงแก่ชีวิต..

เกินครึ่ง..ปีศาจที่ชื่อว่าสุรา..มีเอี่ยวด้วย

และแปลกที่เจ้าหน้าที่รัฐบางคน..ยังพกปืนไปดื่มเหล้า..

ทั้งที่ไม่อยู่ในหน้าที่สักหน่อย..

(หรือถ้าอยู่..ก็เท่ากับดื่มในหน้าที่เลยนะนั่น)

ทุกสัปดาห์ต้องมีคนมานอนรพ...เพราะสุรา..

ไม่ว่าจะเป็น..

ดื่มจนน้ำตาลต่ำ..

ดื่มจนเลือดออกในกระเพาะ..

ดื่มจนชัก..

ดื่มจนตับอักเสบ

ดื่มผสมยาชูกำลัง..จนใจสั่น..

ดื่มผสมยาฆ่าหญ้า..จนกระเพาะทะลุ..

ดื่มจนเป็นบ้า

ดื่มจนตับแข็ง..แล้วติดเชื้อรุนแรง..ช็อก..

ดื่มจนตาเหลืองตัวเหลือง..

ดื่มจนเส้นเลือดสมองแตก..

ซึ่งแบบสุดท้ายนี้มักจะได้กลับบ้าน(เก่า)ภายในหนึ่งวัน

ไม่รวมดื่มจนเพลียขอมานอนรพ...ขอเข้าน้ำเกลือ..ขอฉีดกลูโคส..

ซึ่งแพทย์ก็ยังสับสนอยู่ว่า ระบบประกันสุขภาพยังจะรับภาระค่าใช้จ่ายนี้จริงๆหรือ?

มันเหมือนทำร้ายตัวเอง..มากกว่านะคะ..

นอกจากนี้ยังมี..ปัญหาบ้านแตก..แม่เครียด..ลูกเป็นโรคหวาดระแวง..

และอื่นๆ..อีกมากมาย..

ยาสูบก็ไม่แพ้กัน..

สูบกันจนหอบ..ปอดพัง..

หอบจนนอนไม่ได้ก็ยังสูบ..

พระสงฆ์องค์เจ้า..เลิกอะไรเลิกได้..เลิกยาสูบไม่ได้..ก็มีให้พบให้เห็น..

สูบจนเป็นโรคหัวใจ..

สูบจนชาปลายมือปลายเท้า...เพราะมันทำลายเส้นเลือด..เส้นประสาท..

สูบจนนอนไม่หลับ..สูบจนเป็นหวัดไม่หาย..

สูบจนตาย..ก็ยังมี..

คนไข้หอบกว่าครึ่งที่คุมอาการไม่ได้เพราะคนในบ้านสูบบุหรี่..

คนสูบอาจคิดว่าสูบที่อื่น..แต่กลิ่นมันอยู่ในลมหายใจ..ไม่ใช่แค่เสื้อผ้า..

พ่อเฒ่ารายนึง..หอบประจำ..

สาเหตุที่เจ้าตัวคิดว่าทำให้หอบกำเริบคือ..การคุยกับลูกชาย..

เพราะลูกชายสูบบุหรี่จัด..เวลาคุยกัน..จะได้กลิ่นบุหรี่..และหอบจะขึ้นทุกครั้ง..

คนไข้บางรายสงสัย..บางรายเห็นเป็นเรื่องขำ..

ที่อยู่ๆมาตรวจอย่างอื่นแล้วหมอทักให้เลิกบุหรี่..ทั้งที่ไม่ได้บอกหมอว่าสูบบุหรี่..

จริงๆแล้วเพราะหมอได้ "กลิ่น"..บุหรี่จากคุณ..

ซึ่งนั่นแปลว่า..คุณสูบบุหรี่อยู่..และน่าจะ..สูบจัดเสียด้วย..

ในคนที่เจ็บป่วยเพราะสองปีศาจนี่..มีไม่ถึงครึ่งที่เลิกได้..

บางคนเลิกได้..กลับไปเป็นทาสมันใหม่..เพราะคนใกล้ชิดชักชวนซ้ำ..

ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอก..ว่าสิ่งที่มือตัวเองกำลังนำเข้าปากไม่ต่างอะไรกับยาพิษ..

ยิ่งพบความจริง..ยิ่งไม่เข้าใจ..

ไม่เข้าใจว่า..ในเมื่อมันเลวร้ายขนาดนี้..และทุกคนก็รับรู้..

ทำไมยังมีการ "ให้"...กันเป็นของขวัญ..

ทำไมงานบุญ..งานจัดเลี้ยงแสดงความยินดี..

งานปีใหม่..ที่จัดเพื่อให้มีสิ่งดีๆใหม่ๆเข้ามาในชีวิต

ถึงต้อนรับมารร้ายเข้ามาด้วย..

ทำไมยังมีพ่อที่ชวนลูกกินเหล้า..(ถึงพ่อที่ชวนลูกสูบบุหรี่จะน้อยลงแล้ว)

มีแม่ที่กินเหล้า..บางคนสูบยา..ในขณะที่กำลังตั้งท้อง..

มีรุ่นพี่..ที่ชวนรุ่นน้อง..มีหัวหน้าที่ชวนลูกน้อง..

และบางครั้งการไม่รับชวน..นับเป็นความผิดด้วยซ้ำ..

ทำไมหน่วยงานราชการ..ที่ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มผู้"นำ"ในท้องถิ่น

ถึง"ตั้งวง"กันได้ทุกวัน..

ทำไมผู้ยิ่งใหญ่..ในชุมชน..ที่คิดทำอะไรๆใหญ่ๆ..ได้มากมาย..

ถึงพ่ายแพ้แก่สองคู่หู..คู่นี้..

ทำไม..??

ถ้ารัฐบาลและประชาชนไทย...คิดที่จะมีระบบประกันสุขภาพต่อไป..

ควรเริ่มได้แล้วนะคะ..เริ่มทำ"สงคราม"..กับสุรา..ยาสูบ..

เพราะ"เงิน"ของชาติที่เสียไป.."คน"ของชาติที่เสียไป..

มีค่ามากกว่ารายได้จากภาษีสุรายาสูบหลายเท่านักนะคะ..

ทุกครั้งที่พบเจอคนไข้แบบนี้ทีไร..

หมอคิดทุกที..

คนที่ทำ..คนที่ขาย..คนที่ให้..คนที่ชวน..

คนพวกนี้..ยังเป็นคนอยู่มั้ยนะ?

ถึงไม่ได้ทำผิดกฎหมาย...แต่ปฏิเสธได้มั้ยคะ..ว่ามันไม่บาป?...

กินเหล้า..สูบยา..เท่ากับฆ่าตัวตาย..

ทำ..ขาย..ให้..ชวน..เท่ากับฆ่าคนตาย..

ว่ามั้ย?


วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด!!

วันจันทร์ที่ผ่านมา
รพ.เริ่มระบบHOsXPอย่างเป็นทางการวันแรก
นั่นหมายถึง
OPDจะเริ่มใช้ระบบนี้วันแรก

และหมอยุ่งก็ได้เป็นผู้โชคดี ถูกรางวัล
ได้เป็นแพทย์เฝ้าOPDในวันนั้นด้วย

เช้ามาตรวจ
คนไข้ไปเรื่อยๆ
ยังเข้าใจว่าวันนึงๆตรวจคนไข้ประมาณหกสิบคนต่อวัน
ดูตัวเลขคนไข้สี่สิบคนแล้ว
เลยชิวๆ..สบายๆ..

ตรวจไปจนเจ้าหน้าที่ที่รักมาถาม..
หมอจะพักก่อนมั้ย?

งง? พักอะไร?
มองนาฬิกา
บ่ายโมงแล้ว
มองรายชื่อคนไข้
ยังเหลืออีกเยอะ
คิดถึงคนไข้ที่จะไม่มีรถกลับบ้าน
คนไข้ที่รอตรวจแต่เช้า
แล้วทำใจตอบเป็นอื่นไม่ได้นอกจาก
ไม่เป็นไร ตรวจต่อ ไม่พัก
คนอื่นผลัดกันไปกินข้าวแล้วกัน

ตรวจไปเรื่อยๆ
รีบกว่าปกติเล็กน้อย
แต่รีบมากจนละเลยคนไข้ไม่ได
"เพราะไม่ว่าคนไข้จะมากขนาดไหน
สิ่งที่หมอทำได้ และต้องทำก็คือตรวจไปเรื่อยๆ..เท่านั้น
ไม่ใช่ตรวจเร็วๆให้เสร็จๆไป"

ตรวจจนมีเสียงประกาศอุบัติเหตุหมู่
อยากลุกไป(มุง)ดูและทำหน้าที่ช่วยเหลือตามแผนใจจะขาด
แต่คนไข้ที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
มันกดดันให้กระดุกกระดิกไปไหนไม่ได้

ถามพยาบาลที่เข้ามาถามเรื่องการดูแลคนไข้อุบัติเหตุ
ก็พอจะเดาได้ว่าหมออีกคนคงยุ่งมาก
เลยต้องมาถามทางนี้
พยาบาลบอกว่ายังไม่ต้องไปช่วยก็ได้
ส่วนมากเป็นแผลเย็บไม่ใช่ใส่ท่อช่วยหายใจ

เลยได้แต่นั่งตรวจไปเรื่อยๆ
ตรวจโดยที่มีคนเอาข้าวมาให้ตั้งสองชุด
(ดีใจนะเนี่ย..ได้ตั้งสองชุดแน่ะ)
แต่ไม่ได้กิน
กินไม่ทันคนไข้เข้ามาหา

หน้ามองแต่หน้าจอ
หน้า ท้อง อก ของคนไข้

จนไม่รู้กี่โมง
มีโทรศัพท์มาถามว่าจะให้ขอเป็นโอทีเลยมั้ย
ห้าโมงกว่าแล้ว

เกือบตอบว่าไม่ต้อง
แต่พอเหลือบมองหน้าจอ คนไข้อีกสิบกว่าคน
มองนาฬิกา
คิดถึงคนที่ต้องอยู่เย็นกะเรา(พยาบาล เจ้าหน้าที่ห้องตรวจ)
อืม..เอาเลย!

ตรวจจนเสร็จ
มองนาฬิกา ทุ่มกว่า
ใจนึงอยากลองระบบให้คล่องมืออีกหน่อย
แต่ตาลาย ไม่ไหวแล้ว
เดินกลับบ้านอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว

เช้าวันต่อมาวันอังคาร
มีคนไข้เบาหวานด้วย

มาถึงตรวจไปเรื่อยๆ
ตรวจคนไข้เบาหวานด้วย
โดยคนไข้เบาหวานยังไม่เข้าระบบ

แน่นอนว่าการทำอะไรที่ครึ่งๆกลางๆ
อย่างกลุ่มนึงอยู่ในคอมฯอีกกลุ่มอยู่ในกระดาษนั้นยากมาก และวุ่นวายสิ้นดี
ทำเอาหงุดหงิดอย่างเปิดเผย
"เหวี่ยง"ใส่เจ้าหน้าที่ที่รัก ไปอย่างไม่น่าให้อภัย
(แต่เพราะเป็นตัวเองทำ เลยแอบให้อภัยตัวเองอยู่เงียบๆ)

แอบได้ยินเสียงคนไข้บางคนโวยวายหน้าห้องตรวจ
เรื่องคิว เรื่องได้ตรวจช้า

และแอบดีใจที่ได้ยินคนไข้ช่วยกันอธิบายให้เข้าใจ

มีคุณตาคนนึงเข้ามาตรวจ
โดยพนมมืออยู่เกือบตลอด
ปากที่ว่างจากการเล่าอาการและตอบคำถามหมอ
มีแต่พร่ำอวยพร แบบที่หมอฟัง"บ่ฮู้เฮื่อง"
ได้ยินแว่วๆ ว่าเทวดาๆ

จนฟังออกตอนท้ายว่าแกชื่นชมว่าเราอดทนตรวจไม่ได้กินข้าวกินปลา
เหมือนเทวดามาโปรด

เลยมองย้อนมา
เราคิด ว่าเราทำหน้าที่ และเรารับผิดชอบการทำหน้าที่ช้าของเรา
ด้วยการสละเวลาพักเป็นการชดใช้ให้ แถมยังเบียดเบียนเวลาพักของเจ้าหน้าที่คู่ใจอีกหลายคน

แต่การรับผิดชอบของเรา ในสายตาคนไข้ หลายคน
มันคือการเสียสละ
และเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่เสียด้วย

เมื่อมองในมุมของคนไข้
คิดถึงเหตุผลที่ทำให้คนไข้มองแบบนั้น
เรากลับได้สาเหตุที่เราไม่เคยคาดมาก่อน

เหตุผลง่ายๆ แต่เราไม่ได้คิด

ในขณะที่เราคิดว่าเราทำหน้าที่รักษาคนไข้
คนไข้กลับคิดว่าเขาทุกข์ และจำเป็นต้องมาหาหมอ เพื่อหาทางแก้ทุกข์

เราคิดว่าเราทำหน้าที่ เสร็จแบบไหนไม่สำคัญ แต่ทำเสร็จแล้วจบไป
บางคนคิดว่า หมดเวลาทำงานแล้วจบด้วยซ้ำ
แต่สำหรับคนไข้ เขาทุกข์ การจบแบบไหน เสร็จแบบไหนจึงสำคัญมาก
เพราะนั่นหมายถึงชีวิตในอนาคตของเขา

นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้การรับผิดชอบตามหน้าที่ของเรา
กลายเป็นการเสียสละเข้าขั้น"เทวดา"สำหรับคนไข้
เพราะนั่นคือการ เสียสละเพื่อให้เขาพ้นทุกข์นนั่นเอง
แน่นอนว่าเทวดาองค์เดียวช่วยเขาไม่ได้
แต่บังเอิญเทวดา"หลายองค์"มาช่วย
ทั้งเทวดาห้องบัตร เทวดาซักประวัตื เทวดาหน้าห้องตรวจ และเทวดาห้องยา ช่วยกันเสียสละช่วยเขาด้วย
นั่นทำให้ภารกิจช่วยโลกของเราผ่านพ้นไปด้วยดี

และแล้ววันอังคารก็จบลงด้วยOPDเสร็จห้าโมงเย็น(กว่าๆ)


แอบดีใจทำเวลาเร็วกว่าเดิม
โดยมีลงนัด
ลงประวัติลงตรวจร่างกาย และลงวินิจฉัยได้ละเอียดขึ้
(คิดเองนะ)

อยากบ่น
แต่บ่นมากไม่ได้
เพราะถ้าเราบ่น
HOSXPอาจล่มไปตามคำบ่นของเราด้วย

เราปฏิเสธไม่ได้ว่าระบบจะช่วยเราได้เยอะ
และมันจะมีประโยชน์กับคนไข้ถ้าเราใช้ได้คล่อง

ตลอดเวลาที่คนไข้เข้ามา
คนไข้บางคนถามว่าขึ้นระบบใหม่เหรอ ช้าจัง
เราตอบว่า
"ตอนแรกจะช้า ตอนหลังจะเร็วขึ้น เรากำลังพัฒนา
คุณโชคดีที่มาวันประวัติศาสตร์ต่อไปจะได้ไปคุยได้เลยนะเนี่ย"

เพราะHOSXPไม่ผิด
ผิดที่เราไม่คุ้นกับมัน
คนเซ็ทระบบก็ไม่ผิด
ผิดที่เราไม่เข้าไปช่วยเขาตั้งแต่แรก
มันเลยเกิดปัญหาขึ้น

ดังนั้น การแก้ต้นเหตุ
คือการเรียนรู้และสร้างความคุ้นเคยให้ดีที่สุด เร็วที่สุด
จึงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเพื่อน
ในการนี้

บทเรียนจากสองวันนี้
ทำให้เราพบว่า

1.การเริ่มนั้นยาก และยากยิ่งกว่า ถ้าการเริ่มนั้นเป็นการเริ่มไป"ด้วยกัน"
2.การเริ่มไปด้วยกันนั้นยาก แต่ความยากนั้นลดลงได้มาก ถ้ามันเป็นการเริ่ม"ด้วยกัน"อย่างแท้จริง
3.กำลังใจจากคนไข้ที่เริ่ม"ด้วยกัน"กับเรา ช่วยเราได้เยอะ
ลองคิดดูสิคะ เราตรวจถึงทุ่มกว่าก็จริง แต่ยังมีคนไข้ที่ทนนั่งรอให้เราตรวจเลยนะคะ
คนไข้ของเราน่ารัก และให้ความร่วมมือขนาดไหน
และที่สำคัญ ความจริงที่คนอื่นคงไม่รู้ ก็คือ
คนไข้ทุกคนที่เข้าพบหมอยุ่งวันนั้น และวันอังคาร
ไม่มีใครบ่นช้า หลายคนตื่นเต้นที่เห็นรพ.พัฒนาด้วยซ้ำ
และเสียงหลายเสียงที่บอกว่า คนไข้ก็มากดี หมอก็ตรวจ(ได้ตรวจ)ดี
ฟังแล้วรู้สึกอะไรๆมันดีจริงๆ
4.งานที่เริ่มด้วยความยาก จบท้ายเมื่อมันผ่านไปได้ มันทำให้"ใจสบาย"ได้มากกว่างานง่ายๆหลายเท่า
5.การที่เราทำหน้าที่เราให้ที่ดีสุด
คือการดูแลคนไข้ ทีมก็ยินดี(ลำบาก)ไปกับเราด้วย คนไข้ก็ยินดี(มั้งนะ)ลำบากไปกับเราด้วย
คิดดูสิ แค่หมอตรวจต่อไปเรื่อยๆ พยาบาลก็อยู่กับเรา คนไข้ยังรอให้เราตรวจ
เราไม่ได้อยู่คนเดียวสักหน่อย ถ้าเราทำหน้าที่ ทำดี ความดีมันแสดงออกมาเอง
ความดีมันเรียกพวกพ้องของมันมาเอง สิ่งดีๆจะเกิดขึ้นเอง ความรู้สึกดีๆ ก็จะกลายเป็นรางวัลของเราเอ

อยากให้มี"แบบนี้" บ่อยๆ
แบบนี้ ที่หมายถึงการทำอะไร"ด้วยกัน"
อะไรที่ทำให้ เราแต่ละคนทำหน้าที่ของเราได้ดีที่สุด เต็มที่ที่สุด
และทำให้เกิดผลที่ "น่าจดจำ"(จริงจริ๊ง)ที่สุด
ประทับใจที่สุด
เกิดเป็นประสบการณ์สุดๆ ที่ทำให้เกิดความรู้สึก "วิเศษ"สุดๆ
และทำให้เราทุกคนรู้สึกว่า อยากจะทำให้มันสุดๆไปเลยกันสุดๆ

จบแบบสุดๆ
สวัสดี

หน้าชื่นปากหวาน..แต่น้ำตาท่วมอก..2

เมื่อหมอโกหกคนไข้..

เรื่องโกหกที่สอง..
วันนี้ลงเวร..ถูกเสี้ยนตำตั้งแต่เช้า..
ตอนเย็นมันบวม..
เลยเดินไปERจะบ่งออก..
(อยู่รพ.ทั้งวันแต่เพิ่งว่างตอนหกโมงครึ่ง..)

ไปถึง..
เจอกับหมอเวรอีกท่านนึง..มาดูคนไข้ฉุกเฉิน..
มีคนไข้..EMSไปรับ..
ฟังชื่อแล้วเอ๊ะ..พ่อตู้เดช.."ของฉัน"นี่นา..
(เดี๋ยวนี้นิสัยเสีย..เอะอะก็ของฉันไปหมด..)

จำได้..
คนไข้CA Colon ปฏิเสธรักษาต่อเนื่อง..
อยู่ในระยะEnd Of Life Careนี่นา..
ปกติอยากอยู่บ้านยังกับอะไร..
วันนี้เป็นอะไรนะ..ถึงมารพ.

วันนี้"ตู้เดชของหมอยุ่ง"มาด้วย อาเจียนเป็นเลือดดำ..
เดินผ่านไปเงียบๆ..
ไปบ่งเสี้ยนตำมือ...(ให้เกียรติแพทย์เจ้าของเวรหน่อย)
แต่แอบเมียงมองแบบ.."คนไข้ฉัน"อ่ะ..มีรัยมั้ย?

แพทย์เวร(ตัวจริง)ดูอาการ..พูดคุยกับญาติ..
โทรRefer..แล้วเดินออกไป..

"หมอไม่เวร"ที่แอบมาเอาเข็มบ่งเสี้ยน..
ไปทำบัตร..มาลงประวัติคืนเข็มให้ER
เดินเข้ามาพอดี..เห็นยังล้างท้องตู้เดชอยู่..
เลยเดินเข้าไปทัก..จับมือพ่อเดช..

ตู้เดชของหมอ..
จมูกมีสายล้างท้อง...พูดก็ไม่ถนัด..หายใจก็ไม่ถนัด..
ส่งเสียงแหบแห้งถามหมอว่า..

"หมอยุ่งอยู่เวรวันไหน.."

ฟังแล้วงง..

พ่อเดชเลือดออกในกระเพาะจนความดันวัดไม่ได้..
น้ำตาลต่ำจนเบลอ..
พอได้น้ำเกลือ..ไปขวดนึง..(แน่นอนว่าFREE FLOW)
แถมกำลังจะถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลใหญ่..
ไปพบหมอใหญ่กว่า..เก่งกว่า..เฉพาะทางเชี่ยวชาญกว่า..


คิดว่าจะถามเรื่องโอกาสรอด..
คิดว่าจะบ่นกังวลอนาคตของตัว..

"ทำไมมาถามถึงเวรหมอ??"

ด้วยความที่โกหกปากหวาน(กับคนไข้)จนชิน

ตารางเวรแพทย์ยังไม่ออก..

หมอยุ่งตอบตาเดชว่า..
"ยังไม่รู้เลยว่าอยู่เวรวันไหน..
แต่ยังไงก็จะอยู่รอรับพ่ออยู่นี่ล่ะ..
รีบกลับมาเน้อ.."

แต่ในใจ..
(เที่ยวนี้ตาเดชจะรอดมั้ยเนี่ย..เลือดออกปานนี้..
เกล็ดเลือดก็น่าจะต่ำ..มะเร็งคงแพร่ไปทั่วแล้ว..)

เกิดภาวะ
"หน้าชื่นปากหวาน..แต่น้ำตาท่วมอก."
ขั้นแรก..

แล้วยืนส่งคนไข้จนขึ้นรถRefer
ร่ำลารับไหว้รับคำขอบคุณจากลูกๆของตู้เดช
(แทนแพทย์ตัวจริง)
เรียบร้อย..

หลังจบเรื่อง..
พยาบาลที่ล้างท้องให้ตู้เดชเล่าว่า..
ตอนแรกที่หมอเดินเข้ามา..

ตู้เดชที่เสียงแหบ..ตาโรย..
เพิ่งมีสติหลังได้น้ำตาลฉีดเข้าเส้น..
ได้ยินเสียงหมอ..
แกส่งเสียงเรียก.."หมอยุ่ง"..เป็นคำแรกหลังฟื้น..

พยาบาลที่กำลังใส่สายยางล้างท้องอยู่ในตอนนั้น..
จึงกระซิบบอกแกว่า...
ตา..วันนี้ไม่ใช่เวรหมอยุ่ง..เพิ่นแวะมาเฉยๆ..

เท่านั้นแหละ..
แพทย์ยุ่งตีหน้ายิ้มแย้มใส่พยาบาล..
ส่งเสียงได้แค่"เหรอ.."แล้วเดินออกมา..

แต่ในใจ..หลังฟังเรื่องที่พยาบาลเล่า...

ใจหายวาบ!
กลายเป็น"หน้าชื่นปากหวาน..แต่น้ำตาท่วมอก."ขั้นเทพ!!!

นี่เอง..คือเหตุผล..
ที่ประโยคแรกที่ตู้เดชถามหมอยุ่ง..
ขณะกำลังถูกส่งตัวไปรพ.อื่น
ถึงกลายเป็น..

"หมอยุ่งอยู่เวรวันไหน.."

ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี..
ไม่รู้ว่าควรเศร้า..หรือ..ภูมิใจในตัวเองดี..

แต่ยังไง..
ก็นับว่าเป็นความรู้สึกแสนดี..ที่ล้ำค่า..
สำหรับหมอคนหนึ่ง..

และทำให้รู้สึกว่า..

ถึงแม้จะต้องผิดศีลห้า..ข้อมุสาเรื่อยไปทุกๆวัน..
กลายเป็นคน"หน้าชื่นปากหวาน..แต่น้ำตาท่วมอก"

ถ้ายังมีคนไข้แบบ "ตู้เดช"..และ"หนูลำไย"อยู่
เราก็ยังยืนยันจะเป็นหมอ..
ที่โกหกคนไข้ไปเรื่อยๆแบบนี้ต่อไป..

ขอโทษนะคะ..
ศีลห้าของหนู..

ตู้เดช..ไปแล้ว

ช่วงเย็นสามสี่วันก่อน..
ตู้เดชกลับมาจากรพ.หนองคาย
กลับมานอนรพ.ศรีเชียงใหม่..

วันนั้นเป็นเวรแพทย์อีกท่าน
แต่ดวงคนมันสมพงศ์กัน
หมอยุ่งเลยป้วนเปี้ยนคุยงานจนได้เจอตู้เดช..

ตู้เดชยังมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร
ยังใส่สายสวน..จากจมูกต่อลงกระเพาะ

ทั้งๆที่กลับมาเพราะขอกลับมาบ้าน
แต่ไม่ทราบด้วยอะไร
อาจารย์ที่รพ.ใหญ่ถึงยังให้ฉีดยารักษาเลือดออกในกระเพา
ต่อเนื่องที่รพ.ใกล้บ้าน

ตู้เดชเลยยังมีสายคาที่จมูก
ยังปากแห้ง..กินน้ำไม่ได้
ยังต้องมานอนรพ...ไม่ได้กลับบ้าน
และที่เลวร้ายกว่านั้น

ตอนที่หมอยุ่งเจอตู้เดช
ตู้เดชกำลังหลับตา..ส่ายหน้าหนียา..สุดชีวิต!!

ยาที่ว่าคิอยาบำรุงค่ะ..
(มันคือ lipochol)

ไม่รู้ว่าสาเหตุอะไรหรือการสื่อสารผิดพลาดที่ตรงไหน
ตู้เดชที่ตัดสินใจอยากจากไปอย่างสงบ สบาย
กลับถูกบังคับให้กินยา!!

ลูกๆเทียวมาถามพยาบาล
ไม่กินได้ไหม
แกกลืนไม่ได้

พยาบาลตอบว่าไม่กินไม่ได้..เพราะหมอสั่ง!!

ฟังแล้ว..หงุดหงิดใจแปลกๆ..
(หรือเรารู้สึกไปเองหว่า?)

โผล่หน้าเข้าไป
ญาติแหวกเป็นทางเหมือนทะเลเปิด

ตู้เดชยังหลับตา ส่ายหน้าลูกเดียว
เลยจับมือแล้วเรียก..พ่อเดช

ตู้เดชหยุดส่ายหน้า..พยายามลืมตา..
หมอยุ่งหวา?
ถึงบ้านเราแล้วบ่?

เลยบีบมือแกไปหนึ่งที
อยู่"บ้านเรา" แล้วตู้เดช
เป็นยังไงมั่ง

ผมง่วง..อยากนอน
ไม่อยากกินยา มันกลืนไม่ได้

เหรอ?
แล้ววันนี้พ่อเดชอยากนอนที่รพ...อยู่กับหมอ..
หรืออยากกลับบ้านล่ะ?

อยากยังไง..ตอนนี้ตามใจพ่อน

ตู้เดชตอบมาแบบซื้อใจหมอยุ่ง..

แกตอบว่า

ขออยู่กับหมอหนึ่งคืน..
เพราะคิดถึงหมอ..

พรุ่งนี้จะขอเมื้อบ้านแล้ว

เลยบีบมือแกส่งท้าย..

ตกลง..งั้นคืนนี้นอนอยู่ที่รพ.ด้วยกันเนาะ
แล้วพรุ่งนี้ค่อเมื้อบ้านเนาะ

หลังจากนั้นหมอยุ่งก็ไปจัดการให้ได้ตามใจตู้เดช
วิธีการเป็นความลับ..
เพราะเป็นไปในทางไม่ถูกต้องอยู่มาก
(อยากรู้ถามส่วนตัวได้)

วันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่ได้พบตู้เดช

วันนี้ลูกสาวตู้เดชมาหา
มาบอกว่า..
ตู้เดชจากไปแล้ว
ไปสงบ ไม่ทรมาน
และ..พ่อฝากลาหมอ..

ถ้าตู้เดชจะรับรู้ได้
หมอยุ่ง..อยากบอกให้ตู้เดชรู้

ว่าหมอดีใจ..ที่ตู้เดชไปดี..ไปสบาย
หมอดีใจ..ที่ตู้เดชมีแก่ใจคิดถึง
หมอดีใจ..ที่มีโอกาสได้ดูแลตู้เดช..
และมีตู้เดชเป็นคนไข้ของหมอยุ่ง

ตู้เดชเป็นคนไข้ที่น่ารัก
ไม่เคยทำให้หมอสำบากใจเลย

ตู้เดชดูแลตัวเอง..จัดการอารมณ์ตัวเองได้ดีมาก

คำพูด และการกระทำของตู้เดชหลายๆอย่าง
ทำให้หมอยุ่ง..มีความสุข
สุขอย่างที่ครบทั้ง ใจ สังคม และจิตวิญญาน

ขอบคุณนะคะ..ตู้เดชของหมอยุ่ง

ขอให้เส้นทางในอนาคตของตู้เดช
เต็มไปด้วยความดี..ความงาม..
ไม่ต่างกับที่ตู้เดชมอบแก่ผู้อื่นเสมอมา

วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หน้าชื่นปากหวาน..แต่น้ำตาท่วมอก. 1

เคยมั้ย..รู้สึกว่าตัวเองแสดงละครได้อย่างสุดๆ..

วันนี้..เรากลายเป็นหมอ..

ที่โกหกคนไข้..

สองเหตุการณ์

เหตุการณ์แรก..


คนไข้อายุ35ปี..
เป็นAutismและAsthma แบบมารดาเป็นจิตเวช..

ไม่ได้รับวินิจฉัยและรักษาเรื่องAutismมาก่อน..

ทั้งที่พี่สามคนเป็นครู
(ทั้งในโรงเรียนอำเภอ..และถึงระดับโรงเรียนจังหวัด)

ปรากฏว่า..
คนไข้หลงมาเข้ามือ..หมอจบใหม่..น้อยๆ..

เนื่องจากคนไข้ยอมAdmitเพราะหอบมากเป็นครั้งแรก..
แถมยอมใช้ยาพ่น..
ยอมอาบน่ำ..ไม่ซกมก..สกปรกเหมือนเคย..

เพราะไอ้หมอเจ้าของไข้มันขี้้บ่น..
ช่างว่า..ช่างบ่น จู้จี้จุกจิก..
ดุด่าไม่ไว้หน้า..
พร้อมทะเลาะกับคนไข้เกเรทุกระดับ
แถมตามจิกญาติยังกับตามลูกหนี้..

กว่าหมอจะรู้ตัว..
หมอก็กลายเป็นคนที่ญาติพี่น้องหวังพึ่งพาในประสิทธิภาพ
"ปราบ"คนไข้(แก่ๆ)ดื้อ..ไปซะแล้ว..

ลำไยไม่กินกับข้าว..กินแต่ข้าวเปล่าสองช้อนพูนๆต่อมื้อ
..
เพราะหมอยุ่งไม่ได้บอกให้กินข้าวกับกับข้าว..
บอกแค่ให้กินข้าวครบสามมื้อ
ตรงเวลา..
ญาติไม่รู้จะทำยังไง..
เลยพามารพ.สองวันติดๆกัน..เพื่อตามหาหมอยุ่ง..

(เพราะแพทย์จอมยุ่งอยู่เวร..ฉะนั้นเคสไม่ด่วนเลยเข้าพบหมอคนอื่นที่OPD)

(..นี่มันอะไรกันนี่!!???..)

จนวันนี้ลงเวร..
คุณลำไยและคุณครูพี่สาวเลยได้พบหมอจอมบ่น..สมใจ

เราเข้าใจว่าบางครั้งคนไข้มารพ.เพราะทุกข์..
ไม่ได้ต้องการยา..
(ซึ่งเป็นนิสัยของคนไข้บางคนที่เราอยากจับมาอบรมใหม่)

บางครั้งการอธิบาย..การรับฟังของเรา..
ช่วยคนไข้ได้มากกว่ายาเสียอีก..

แต่เพิ่งเจอนี่แหละ..
คนไข้(และพี่สาว)
ที่อยากกินข้าว..แต่กินไม่ได้..นอนไม่ได้..
มารพ.เพื่อต้องการให้หมอสั่งให้กิน..สั่งให้นอน..
พระเจ้า!!

หมอจะทำอะไรได้ล่ะเนี่ย..
(ขับรถก็ไม่เป็น..โดดงานก็ไม่ได้..หนียังไงก็หนีไม่พ้น..)

เลยต้องปั้นหน้าใจดี..(ดี๊ดี..ดุจนางฟ้า)
"บอก"คุณ"หนูน้อยลำไย"..ดีๆ
..
ว่าต้องกินกับข้าวด้วย..
ต้องนอนเวลานั้นๆ..

ต้องชมว่าอาบน้ำทุกวัน..เก่งจังเลย..
ดีมากที่ไม่กินข้าวบนเตียงแล้ว..

แต่ในใจ..
ทำไมต้องเป็นเรา(วะ)เนี่ย??
?
คนยิ่งยุ่งๆ..ตรวจOPDอยู่คนเดียว..
อยากจะบ้าตาย...

นี่คือละครโกหก..
"หน้าชื่นปากหวาน..แต่น้ำตาท่วมอก".

ฉากที่หนึ่ง..

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หัดเป็นดารา


วันนี้เริ่มรู้สึกถึงความจริงบางอย่าง..

ก่อนหน้านี้..
ตัวเรามักจะอาย..

เวลาทำอะไรซักอย่างแล้วมีคนถ่ายรูป..
จะเกร็ง..เก๊ก..เสียงสั่น..

ทำอะไรผิดปกติไปซักอย่าง..

เวลาเค้าขอถ่ายรูปแบบหน้าตร
แต่ก่อนยิ่งเกร็ง..
เดี๋ยวนี้..ชิน..

เพราะเวลาทำงาน..
เวลาประชุม..
เวลาคุย Adviceคนไข้..ตรวจคนไข้
รับมอบของที่ระลึก..
มอบรางวัล..

มีแต่คนถ่ายรูป..

ขนาดป่วยล่าสุด..
ที่พลาดท่าไปป่วยต่อหน้าธารกำนัล..
ยังโดนถ่ายทั้งรูปทั้งคลิป..

แต่วันนี้เพิ่งรู้สึกจริงๆ..
ว่าขนาดตอนเถียงกับหัวหน้าPCU
เรื่องงบป้องกันไข้เลือดออกที่ต้องไป"ขอ"
(ล่อหลอกและรีดไถ)มาจากอบต.และเทศบาลทั้งหลาย
ยังมีเจ้าหน้าที่สสอ.มาถ่ายรูปเลยอ่า

ตอนROUND Wardจะให้คุณยายกลับบ้าน..
ก็มีการขอถ่ายรูปหมู่..รวมญาติ..ที่พ่วงหมอไปด้วย
(ทำไมคนไข้เดี๋ยวนี้เค้าฮิตถ่ายรูปก่อนออกจากรพ.จัง)

งง..
จะเอาไปทำไรหว่า?..
ฟ้องร้อง??..ทำคุณไสย??
ใช้เป็นยันต์กันป่วยหรือไง??

เออ..ถ่ายได้ถ่ายไป..

เอาเลย..

ฮือ..

ต่อไปจะโดนเอาไปแอบอ้างมั้ยเนี่ย..

แอบวิตกกังวลอย่างจิตๆ..

เหอๆ.

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เมื่อหมอวิน...

เมื่อวาน..ได้ประสบการณ์ใหม่
มีโอกาสได้แสดงความป่วย..
ต่อหน้าคนไข้..จำนวนมาก..

  1. เรื่องมีอยู่ว่า
  2. วันก่อนไปศาล..
  3. เป็นพยานคดีพยายามฆ่า..
  4. (ซึ่งเป็นหน้าที่..อีกหนึ่งอย่างที่แพทย์เบื๊อเบื่อ..)
นั่งรถจากอำเภอเรา..
เลี้ยวลดตามทางเข้าอำเภอเมือง

ตามประสาแพทย์ผู้ใช้รถได้แค่ระดับผู้โดยสารเท่านั้น
จึงต้องรบกวนมือขับรถส่งผู้ป่วยนำส่งศาล

ผลปรากฏว่า
ระหว่างทางไป-กลับ

แพทย์เกิดอาการวิน..(วิงเวียน)
อยากฮาก..(อาเจียน)..เป็นกำลัง..
เกิดสับสนทางความคิด..
ว่าจะให้พี่พลขับเร่งเหยียบจะได้ถึงจุดหมายเร็วๆ..
หรือจะให้ช้าๆ..จะได้บรรเทาอาการวิน

ระหว่างคิดไม่ตก..สมองหยุดชะงัก
รถเลี้ยวปาดเข้ามาจอดหน้ารพ.
ตำแหน่งส่งคนไข้พอดีเป๊ะ

แพทย์ตั้งสติ..
เดินลงจากรถมาก..แล้ว..วูบ..

เกาะโต๊ะคัดกรองแทบไม่ทัน..
คนไข้ฮือกันมาดูเต็ม..

(อาย...มากกกกกกกกกก)

มีทั้งเดินมาถาม..เดินมาทัก..เดินมาไหว้..
มีเดินมาเล่าว่ารอคุณหมอตั้งนาน..ไม่ยอมเข้าตรวจกับหมอคนอื่นเลย..
(แอบคิดว่ารอทำไมนะ..เข้าตรวจไปเถอะ..หมอเหมือนกันทั้งน้าน..)
เดินมามุงกันจน...แพทย์หน้ามืด

พระเจ้า...อากาศอยู่ไหนเนี่ย..

ค่อยๆ พยุงตัวแวบเข้าER
จากนั้นโดนพยาบาลหามเข้าห้องคลอด..
(เพราะมีเตียงและ..มันว่างพอดี)

นอนหลับตาพัก
มีคนมากมายเข้ามาทัก เข้ามาจับ เข้าถาม เข้ามานวดมือ นวดเท้า

ส่วนตัวเรา..หลับตาปี๋..
ฮือ..เวียนหัว..(โว้ยย)
เงียบๆกันหน่อยจิ..เค้าอยากพัก..

สุดท้ายมีเสียงสวรรค์
ปิดประตู
ห้ามเยี่ยม..เยี่ยมได้ทีละสองคนเท่านั้น..
(รักจังเลย..เสียงใครหนอ?)

อยากได้ยา..ได้ยา..
อยากได้น้ำแข็ง..ก็ได้น้ำแข็ง
อยากได้ยาลม..ได้ยาลม..
ขนาดไม่อยากได้ก็ยังได้..
ทั้งน้ำส้ม..นมแดง..ข้าวต้ม..โจ๊ก
ฮือ..คลื่นไส้จะตาย..อย่ามาบังคับกินได้มั้ย..

สุดท้าย..ถูกจับฉีดยา..
หลับไปตื่นนึง..
หนีกลับบ้านพัก..จนบ่ายสามถึงโซเซมาOPD
ทำหน้าตาไม่รู้เรื่อง..

ตรวจคนไข้ต่อ..
(ไม่มี๊..ไม่มีคนป่วย..ตอนสายไม่ใช่หนูนะ..หนูป่าว..)

แอบซาบซึ้ง..
เวลาเราป่วย..มีคนดูแล..มีคนเป็นห่วง..
ถึงมันรบกวนการพักผ่อน..
แต่ดีกว่าไม่มีใครเยอะเลย..

และที่แอบนับถือมากมาย..
คือ..
ทำไมมันส่งข่าวเร็วจัง..???

เป็นแป๊บเดียว..
ทั้งเจ้าหน้าที่รพ.ตึกเก่า ตึกใหม่.
ทั้งห้องฟัน..ทั้งคนไข้..
ทั้งแม่ค้าในรพ.
ทำไมมันรู้เร็วจัง..??

การข่าวเยี่ยมมาก..!!

เช้านี้เดินไปทำงานยังมีคนถาม..
เมื่อวานเป็นไง..ดีขึ้นแล้วหรอยัง?

แฮ่ม..อาย.(เมื่อวานตอนวิน..เราทำไรไปมั่งนะ?)
ปนชื่นใจ..(มีคนเป็นห่วงด้วย..หุๆ)

อ้อมแอ้มตอบไป..สบายดีแล้ว..
(ก็แค่เมารถเองนิ..)

แต่ที่เด็ดที่สุด..
มีคนไข้เมื่อวาน..หาเรื่องป่วยเพิ่มวันนี้..
เพื่อมาดูแพทย์..(เอากะเค้าสิ..)

มีแม้กระทั่ง..ควักมือถือ..มาอวดรูปตอนป่วยของแพทย์ด้วย..

เอ่อ..คนไข้คะ

หมอเรียกเก็บค่าสิขสิทธิ์ได้มั้ยคะเนี่ย?