วันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553

คนไข้..มาเพราะอะไร?


ตั้งแต่ม.ปลาย
มีคำถามหนึ่ง
ที่ฉันเริ่มถามตัวเองบ่อยขึ้น
...
เรากำลังจะทำอะไร
ทำเพื่ออะไร
และจริงๆแล้วเราอยากทำอะไร
...
เพราะอย่างนี้ฉันจึงเชื่อ
เชื่อโดยที่ได้พิสูจน์กับตัวเองแล้ว
ว่าคนเรานั้น..
ไม่ว่าจะทำอะไร..มีเหตุผลเสมอ
ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักมากน้อยแค่ไหน..
ไม่ว่าเจ้าของการกระทำจะรู้เหตุผลจริงๆของการกระทำหรือไม่..
การกระทำทุกอย่าง..จะต้องมีเหตุเสมอ..
...
จนเริ่มเรียนชั้นClinic
อาจารย์แพทย์สอนให้ซักประวัติผู้ป่วย
...
สิ่งแรกที่ต้องซักให้ได้
คือ"อาการสำคัญ"
...
อาการสำคัญ คือ "เหตุผล" ที่ทำให้คนไข้มารพ.
ซึ่งจะมีความสำคัญยิ่งในการสืนค้นโรค
และให้การรักษาที่ตรงจุดต่อไป
...
นั่นหมายถึง
ถ้าเราเริ่มต้นผิด..เข้าใจอาการสำคัญผิด
เราจะหลงทาง!!!
และพาทั้งคนไข้ทั้งเราวนอยู่ในเขาวงกตของการเจ็บป่วยไม่จบไม่สิ้น
...
แต่อย่างนึงที่อาจารย์บางท่านไม่ได้สอน
แต่เราเหล่านักเรียนแพทย์รู้กันเอง
ก็คือ
หมอรู้ว่าอาการสำคัญคืออะไร
แต่"คนไข้"ของเรา ไม่รู้
...
หรือบางครั้ง
อาการสำคัญตามหลักการแพทย์ควรเป็นอย่างหนึ่ง
แต่สำหรับคนไข้ มันคืออีกอย่างหนึ่ง
...
เช่น
คนไข้บางคนมาด้วย"เหนื่อย หายใจไม่อิ่ม"
(ถ้าเป็นคนไข้ของฉัน แถวนี้เค้าเรียกกันว่า"เมื่อย หายใจบ่อิ่ม หายใจบ่ฮอดท้อง")
แต่สามารถเดินมาได้ นั่งได้ หายใจปกติ ไม่หอบ ไม่บวม
แล้วมันเหนื่อยตรงไหนล่ะเนี่ย??
...
จริงๆคือคนไข้มึนศีรษะค่ะ บางคนก็เวียนศีรษะ
บางทีก็คือแน่นท้อง แสบท้องทำให้รู้สึกอึดอัด
แต่ก็มีเหมือนกัน..
ที่เป็นอาการของหัวใจ ของปอดจริงๆ
...
ซึ่งเจ้าอาการกำกวม โลกแตกแบบนี้แหละ..
ที่หมออย่างฉัน ได้ยินแล้ว "เมื่อย..หายใจบ่อิ่ม" ขึ้นมาทีเดียว
เพราะนั่นหมายถึงเราต้องนั่งถามไล่ทีละอย่าง
เหนื่อยตรงไหน ที่ท้อง ที่อก หรือ แขนขา
เหนื่อยยังไง ทำอะไรแล้วเหนื่อย
และอื่นๆอีกมากมาย

โฮ้ยย..แค่คิดก็เหนื่อยยยยยยย แล้ว
...
ยิ่งเจอประเภทที่ตอบมาว่า
"มันเหนื่อยไปหมด..เหนื่อยจนพูดไม่ไหวแล้ว"
(แต่เดินได้..?)
นี่ยิ่งเหนื่อย..
แบบว่า คุณพ่อคุณแม่ขา อยากให้หมอช่วยยังไงล่ะเนี่ย?
ง่า..

เลยเหนื่อยกันทั้งหมอทั้งคนไข้..เหนื่อยนานด้วย
เพราะหาต้นเหตุไม่ได้ซักที..
...
อีกแบบคือคนไข้ที่มาหาเราด้วยอาการคันตามตัว
มาเพราะคัน
อาการสำคัญคือคัน
แต่พอเราเห็น..คนไข้ตัวเหลืองจัง..ท้องป่องด้วย..
...
คนไข้มาเพราะคัน
แต่หมอแค่เห็นหน้า ไพล่คิดข้ามไปโรคมะเร็งท่อน้ำดีแล้ว..
ถ้าหมอมุ่งมั่นแต่จะรักษาต้นเหตุแท้จริงคือมะเร็งท่อน้ำดี
พูดและตรวจแต่เรื่องท่อน้ำดี
คนไข้ที่มาด้วยคัน..
และวินิจฉัยโรคเองมาจากบ้านว่าเป็นผื่นเฉยๆ
จะมาขอฉีดยากับยากิน ยาทาเฉยๆ
จะเข้าใจหมอมั้ยคะ?
และจะทำใจรับข่าวร้ายสุดๆได้แค่ไหน
...

เพราะอย่างนั้น
สำหรับฉัน..ที่ทำงานตำแหน่งหมอ(ใหญ่)ในรพ.น้อยๆ
มาไม่ถึงสองปี
ถึงคิดว่า
ไม่ว่าคนไข้จะเล่าไม่เป็น..เล่าไม่ถูก..หรือเล่าไม่ได้
ไม่ว่ายังไง
สิ่งแรกที่เราต้องหาก็คือ
"คนไข้มารพ. เพราะอะไร?"
...

แล้วแก้อันนั้นให้ได้ด้วย!!
คือไม่ว่าหมออยากจะรักษาอะไรของคนไข้
อย่าลืมรักษา"ต้นเหตุ"ที่ทำให้เขามาหาเราด้วย
...
ฉันเคยมีคนไข้
มาหาด้วยวิน เมื่อย กินบ่ได้ (วิงเวียน เหนื่อย กินข้าวไม่ได้)
พลิกประวัติคนไข้มาบ่อยๆ
เฉลี่ยเดือนละสองครั้ง เคยนอนรพ.สิบสามครั้งในหนึ่งปี
(คืนเฉลี่ยนอนมากกว่าเดือนละครั้ง)
ก็รักษาตามอาการไปก่อน
ให้ยาแก้วิน แล้วค่อยขุด คุ้ย ค้น หาสาเหตุที่แท้จริง
ปรากฏว่า
คนไข้เป็นวัณโรคปอดค่ะ
...
เพราะมาทีไร..
มาเพราะวิน เมื่อย กินบ่ได้
เลยไม่เคยชั่งน้ำหนัก
มาถึงขอนอนเปลทันที
เลยไม่มีใครสังเกตว่าคุณยายน้ำหนักลด
ไอที่บ้านมามากมาย
แต่เข้าใจว่าตัวเองไอจากภูมิแพ้เลยไม่ได้บอกหมอ
และเพราะว่าไม่ได้มาเพราะไอหรืออาการทางปอด หัวใจ
แถมมาบ่อย
จนหมอและพยาบาลเข้าใจว่าคุณยายเป็นโรคทางใจ
เลยไม่ค่อยมีใครใส่ใจฟังปอด สนใจอาการไอมากนัก
พอเจออีกที..ปอดหายไปครึ่งข้าง

รายนึ้เป็นตัวอย่างของคนไข้ปากหนักเตือนใจแพทย์
ว่าคนไข้บางคนบอกเราไม่หมด
และคนไข้ที่มารพ.บ่อยๆด้วยอาการเดิมๆ..
มันแปลว่าเรายังไม่ได้รักษาสาเหตุ..
ไม่ได้แปลว่าคนไข้เป็นโรคที่ไม่รุนแรง
...
อีกราย
เป็นประเภทคนไข้เล่ามาก
เล่าหมด
ทั้งวิน ทั้งเมื่อย ทั้งเพลีย
หายใจบ่ฮอดท้อง กินบ่ได้ นอนบ่หลับ ถ่ายบ่ออก
ปวดตามตัวไปหมด
ปวดทั้งข้อ ปวดทั้งกล้ามเนื้อ
ปวดหัว ปวดเท้า ปวดแขน ปวดขา ปวดฟัน
หมอก็ทั้งตรวจ ทั้งถาม ทั้งหา เจาะเลือด x-ray ชั่งน้ำหนัก
มันปกติหมด

ถ้ากินบ่ได้ ทำไมน้ำหนักเท่าเดิม?
ถ้าปวดทั้งตัว ขนาดนั้น ทำไมเดินมาแถมแบกถุงหนักๆมาด้วยได้?
ถ้าหายใจไม่ได้ ทำไมพูดได้ยาวขนาดนี้นะ??...
หมอล่ะง๊ง..งงจริงๆ??..
...
หาไปหามา..ถึงได้รู้ว่า
คุณลุงแกถูกลูกทิ้ง..คุณป้าเพิ่งเสีย
แถมลูกที่กลับมางานศพแม่
ยังเอาหลานมาทิ้งให้แกเลี้ยงอีกสองคน
แกเครียด นอนไม่หลับ กินได้ไม่อร่อย
แต่น้ำหนักยังไม่ลดชัด เพราะเพิ่งเริ่มเครียดหนัก
(คุณป้าเพิ่งเสียไปหนึ่งเดือน หลานแกเข้าวัยรุ่นแล้วก็เริ่มเที่ยว)
ส่งทีมรพ. เยี่ยมบ้าน
ให้คำปรึกษาสุขภาพจิต
อาการดีขึ้นทันที

รายนี้เป็นตัวอย่างคนไข้ที่ไม่รู้เหตุผลแท้จริงที่ตัวเองมารพ.
แต่คนเป็นหมอ"ต้องรู้"..ไม่งั้นคนไข้รายนี้จะไม่หาย
และอาจนำไปสู่การฆ่าตัวตายจากโรคซึมเศร้าได้
...

สรุปแล้ว
ฉันว่า.."คนไข้..มารพ.เพราะมีความทุกข์"

เพราะถ้าไม่ทุกข์ ไม่มีใครอยากมารพ.หรอก
บางคนทะเลาะกับลูกแล้วมารพ.
บางคนเครียด มารพ.
เรียกได้ว่ากินไม่ได้ ถ่ายไม่ออก นอนไม่หลับ ไม่มีคนคบ
เป็นอะไรก็ตามที่ทำให้ทุกข์ มารพ.ได้หมด

เราควรดีใจ
ที่คนไข้เห็นเราเป็นที่พึ่ง
เราควรดีใจ
ที่มีโอกาสได้ช่วยคนที่มีทุกข์
เราควรคิดว่าขนาดรพ.ที่บรรยากาศมักหดหู่
มีแต่ความเจ็บป่วย ความแก่ ความตาย
(ยกเว้นห้องคลอด ที่น่าระทึกใจมากกว่าหดหู่)
คนไข้ยังเลือกมามากกว่าบ้านเขา
คิดดูแล้วกันว่าบ้านเขามันต้องหดหู่ขนาดไหน?
...
เพราะฉะนั้น
ตั้งแต่วันนี้
ฉันจะ"พยายาม" ทำให้คนไข้มีทุกข์น้อยลงให้ได้ เมื่อเดินออกจากรพ.ค่ะ
...
หมายเหตุน้อย...
ดูให้ครบองค์ประกอบของสุขภาพองค์รวม
กาย ใจ สังคม จิตวิญญาน อารมณ์


แวบแรกดลใจ

นานแล้วที่ไม่ได้ "เขียน"อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
"อะไร" ที่มาจาก หัวใจ
...
ตั้งแต่เริ่มออกมาทำงาน
ในตำแหน่ง "หมอ" อย่างเต็มตัว
(แต่ "เป็นหมอ"เต็มตัว รึเปล่านี่..
ให้คนอื่นมายืนยันคงดีกว่า ยืดอกพูดเองเนอะ)
และพูดได้เต็มปากว่า
"จบหมอ" มาเรียบร้อยแน่นอนแล้ว
ก็แทบไม่ได้เขียนอะไรแนวนี้อีกเลย
...
อยู่ดีๆเดือนที่ผ่านมาก็มีพายุคนไข้กระหน่ำเข้ารพ.
เลยเกิด "แวบ" เข้ามาในสมอง
และบังเอิญให้ "แวบ" นั้นติดอยู่ในหัวใจ
แวบที่ว่า..
วันนึงๆเราเจออะไรมากมาย
ทั้งดี..ทั้งร้าย..
จะดีแค่ไหนนะ
ถ้าเวลาเจออะไรร้ายๆแล้วมีที่ให้เราทบทวนความทรงจำ
หวนคิดถึงเรื่องดีๆที่เคยเกิด
เพื่อมาหล่อเลี้ยงหัวใจ
...
ว่าแล้วก็เปิดบล็อกใหม่ซะดีกว่า
เอาไว้จด..ไว้ช่วยจำ..และหวังไว้เล็กๆว่า
จะช่วยให้เพื่อนร่วมงานที่ได้อ่าน..
ชุ่มชื่นใจขึ้นบ้าง..
...
ยังคงยืนยันที่จะเชื่อ..
ว่า"โลก"นี้งดงาม..
และ"คน"เป็นสิ่งงดงามที่สุดที่ธรรมชาติสร้างมาให้คู่โลก