วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หน้าชื่นปากหวาน..แต่น้ำตาท่วมอก. 1

เคยมั้ย..รู้สึกว่าตัวเองแสดงละครได้อย่างสุดๆ..

วันนี้..เรากลายเป็นหมอ..

ที่โกหกคนไข้..

สองเหตุการณ์

เหตุการณ์แรก..


คนไข้อายุ35ปี..
เป็นAutismและAsthma แบบมารดาเป็นจิตเวช..

ไม่ได้รับวินิจฉัยและรักษาเรื่องAutismมาก่อน..

ทั้งที่พี่สามคนเป็นครู
(ทั้งในโรงเรียนอำเภอ..และถึงระดับโรงเรียนจังหวัด)

ปรากฏว่า..
คนไข้หลงมาเข้ามือ..หมอจบใหม่..น้อยๆ..

เนื่องจากคนไข้ยอมAdmitเพราะหอบมากเป็นครั้งแรก..
แถมยอมใช้ยาพ่น..
ยอมอาบน่ำ..ไม่ซกมก..สกปรกเหมือนเคย..

เพราะไอ้หมอเจ้าของไข้มันขี้้บ่น..
ช่างว่า..ช่างบ่น จู้จี้จุกจิก..
ดุด่าไม่ไว้หน้า..
พร้อมทะเลาะกับคนไข้เกเรทุกระดับ
แถมตามจิกญาติยังกับตามลูกหนี้..

กว่าหมอจะรู้ตัว..
หมอก็กลายเป็นคนที่ญาติพี่น้องหวังพึ่งพาในประสิทธิภาพ
"ปราบ"คนไข้(แก่ๆ)ดื้อ..ไปซะแล้ว..

ลำไยไม่กินกับข้าว..กินแต่ข้าวเปล่าสองช้อนพูนๆต่อมื้อ
..
เพราะหมอยุ่งไม่ได้บอกให้กินข้าวกับกับข้าว..
บอกแค่ให้กินข้าวครบสามมื้อ
ตรงเวลา..
ญาติไม่รู้จะทำยังไง..
เลยพามารพ.สองวันติดๆกัน..เพื่อตามหาหมอยุ่ง..

(เพราะแพทย์จอมยุ่งอยู่เวร..ฉะนั้นเคสไม่ด่วนเลยเข้าพบหมอคนอื่นที่OPD)

(..นี่มันอะไรกันนี่!!???..)

จนวันนี้ลงเวร..
คุณลำไยและคุณครูพี่สาวเลยได้พบหมอจอมบ่น..สมใจ

เราเข้าใจว่าบางครั้งคนไข้มารพ.เพราะทุกข์..
ไม่ได้ต้องการยา..
(ซึ่งเป็นนิสัยของคนไข้บางคนที่เราอยากจับมาอบรมใหม่)

บางครั้งการอธิบาย..การรับฟังของเรา..
ช่วยคนไข้ได้มากกว่ายาเสียอีก..

แต่เพิ่งเจอนี่แหละ..
คนไข้(และพี่สาว)
ที่อยากกินข้าว..แต่กินไม่ได้..นอนไม่ได้..
มารพ.เพื่อต้องการให้หมอสั่งให้กิน..สั่งให้นอน..
พระเจ้า!!

หมอจะทำอะไรได้ล่ะเนี่ย..
(ขับรถก็ไม่เป็น..โดดงานก็ไม่ได้..หนียังไงก็หนีไม่พ้น..)

เลยต้องปั้นหน้าใจดี..(ดี๊ดี..ดุจนางฟ้า)
"บอก"คุณ"หนูน้อยลำไย"..ดีๆ
..
ว่าต้องกินกับข้าวด้วย..
ต้องนอนเวลานั้นๆ..

ต้องชมว่าอาบน้ำทุกวัน..เก่งจังเลย..
ดีมากที่ไม่กินข้าวบนเตียงแล้ว..

แต่ในใจ..
ทำไมต้องเป็นเรา(วะ)เนี่ย??
?
คนยิ่งยุ่งๆ..ตรวจOPDอยู่คนเดียว..
อยากจะบ้าตาย...

นี่คือละครโกหก..
"หน้าชื่นปากหวาน..แต่น้ำตาท่วมอก".

ฉากที่หนึ่ง..

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หัดเป็นดารา


วันนี้เริ่มรู้สึกถึงความจริงบางอย่าง..

ก่อนหน้านี้..
ตัวเรามักจะอาย..

เวลาทำอะไรซักอย่างแล้วมีคนถ่ายรูป..
จะเกร็ง..เก๊ก..เสียงสั่น..

ทำอะไรผิดปกติไปซักอย่าง..

เวลาเค้าขอถ่ายรูปแบบหน้าตร
แต่ก่อนยิ่งเกร็ง..
เดี๋ยวนี้..ชิน..

เพราะเวลาทำงาน..
เวลาประชุม..
เวลาคุย Adviceคนไข้..ตรวจคนไข้
รับมอบของที่ระลึก..
มอบรางวัล..

มีแต่คนถ่ายรูป..

ขนาดป่วยล่าสุด..
ที่พลาดท่าไปป่วยต่อหน้าธารกำนัล..
ยังโดนถ่ายทั้งรูปทั้งคลิป..

แต่วันนี้เพิ่งรู้สึกจริงๆ..
ว่าขนาดตอนเถียงกับหัวหน้าPCU
เรื่องงบป้องกันไข้เลือดออกที่ต้องไป"ขอ"
(ล่อหลอกและรีดไถ)มาจากอบต.และเทศบาลทั้งหลาย
ยังมีเจ้าหน้าที่สสอ.มาถ่ายรูปเลยอ่า

ตอนROUND Wardจะให้คุณยายกลับบ้าน..
ก็มีการขอถ่ายรูปหมู่..รวมญาติ..ที่พ่วงหมอไปด้วย
(ทำไมคนไข้เดี๋ยวนี้เค้าฮิตถ่ายรูปก่อนออกจากรพ.จัง)

งง..
จะเอาไปทำไรหว่า?..
ฟ้องร้อง??..ทำคุณไสย??
ใช้เป็นยันต์กันป่วยหรือไง??

เออ..ถ่ายได้ถ่ายไป..

เอาเลย..

ฮือ..

ต่อไปจะโดนเอาไปแอบอ้างมั้ยเนี่ย..

แอบวิตกกังวลอย่างจิตๆ..

เหอๆ.

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เมื่อหมอวิน...

เมื่อวาน..ได้ประสบการณ์ใหม่
มีโอกาสได้แสดงความป่วย..
ต่อหน้าคนไข้..จำนวนมาก..

  1. เรื่องมีอยู่ว่า
  2. วันก่อนไปศาล..
  3. เป็นพยานคดีพยายามฆ่า..
  4. (ซึ่งเป็นหน้าที่..อีกหนึ่งอย่างที่แพทย์เบื๊อเบื่อ..)
นั่งรถจากอำเภอเรา..
เลี้ยวลดตามทางเข้าอำเภอเมือง

ตามประสาแพทย์ผู้ใช้รถได้แค่ระดับผู้โดยสารเท่านั้น
จึงต้องรบกวนมือขับรถส่งผู้ป่วยนำส่งศาล

ผลปรากฏว่า
ระหว่างทางไป-กลับ

แพทย์เกิดอาการวิน..(วิงเวียน)
อยากฮาก..(อาเจียน)..เป็นกำลัง..
เกิดสับสนทางความคิด..
ว่าจะให้พี่พลขับเร่งเหยียบจะได้ถึงจุดหมายเร็วๆ..
หรือจะให้ช้าๆ..จะได้บรรเทาอาการวิน

ระหว่างคิดไม่ตก..สมองหยุดชะงัก
รถเลี้ยวปาดเข้ามาจอดหน้ารพ.
ตำแหน่งส่งคนไข้พอดีเป๊ะ

แพทย์ตั้งสติ..
เดินลงจากรถมาก..แล้ว..วูบ..

เกาะโต๊ะคัดกรองแทบไม่ทัน..
คนไข้ฮือกันมาดูเต็ม..

(อาย...มากกกกกกกกกก)

มีทั้งเดินมาถาม..เดินมาทัก..เดินมาไหว้..
มีเดินมาเล่าว่ารอคุณหมอตั้งนาน..ไม่ยอมเข้าตรวจกับหมอคนอื่นเลย..
(แอบคิดว่ารอทำไมนะ..เข้าตรวจไปเถอะ..หมอเหมือนกันทั้งน้าน..)
เดินมามุงกันจน...แพทย์หน้ามืด

พระเจ้า...อากาศอยู่ไหนเนี่ย..

ค่อยๆ พยุงตัวแวบเข้าER
จากนั้นโดนพยาบาลหามเข้าห้องคลอด..
(เพราะมีเตียงและ..มันว่างพอดี)

นอนหลับตาพัก
มีคนมากมายเข้ามาทัก เข้ามาจับ เข้าถาม เข้ามานวดมือ นวดเท้า

ส่วนตัวเรา..หลับตาปี๋..
ฮือ..เวียนหัว..(โว้ยย)
เงียบๆกันหน่อยจิ..เค้าอยากพัก..

สุดท้ายมีเสียงสวรรค์
ปิดประตู
ห้ามเยี่ยม..เยี่ยมได้ทีละสองคนเท่านั้น..
(รักจังเลย..เสียงใครหนอ?)

อยากได้ยา..ได้ยา..
อยากได้น้ำแข็ง..ก็ได้น้ำแข็ง
อยากได้ยาลม..ได้ยาลม..
ขนาดไม่อยากได้ก็ยังได้..
ทั้งน้ำส้ม..นมแดง..ข้าวต้ม..โจ๊ก
ฮือ..คลื่นไส้จะตาย..อย่ามาบังคับกินได้มั้ย..

สุดท้าย..ถูกจับฉีดยา..
หลับไปตื่นนึง..
หนีกลับบ้านพัก..จนบ่ายสามถึงโซเซมาOPD
ทำหน้าตาไม่รู้เรื่อง..

ตรวจคนไข้ต่อ..
(ไม่มี๊..ไม่มีคนป่วย..ตอนสายไม่ใช่หนูนะ..หนูป่าว..)

แอบซาบซึ้ง..
เวลาเราป่วย..มีคนดูแล..มีคนเป็นห่วง..
ถึงมันรบกวนการพักผ่อน..
แต่ดีกว่าไม่มีใครเยอะเลย..

และที่แอบนับถือมากมาย..
คือ..
ทำไมมันส่งข่าวเร็วจัง..???

เป็นแป๊บเดียว..
ทั้งเจ้าหน้าที่รพ.ตึกเก่า ตึกใหม่.
ทั้งห้องฟัน..ทั้งคนไข้..
ทั้งแม่ค้าในรพ.
ทำไมมันรู้เร็วจัง..??

การข่าวเยี่ยมมาก..!!

เช้านี้เดินไปทำงานยังมีคนถาม..
เมื่อวานเป็นไง..ดีขึ้นแล้วหรอยัง?

แฮ่ม..อาย.(เมื่อวานตอนวิน..เราทำไรไปมั่งนะ?)
ปนชื่นใจ..(มีคนเป็นห่วงด้วย..หุๆ)

อ้อมแอ้มตอบไป..สบายดีแล้ว..
(ก็แค่เมารถเองนิ..)

แต่ที่เด็ดที่สุด..
มีคนไข้เมื่อวาน..หาเรื่องป่วยเพิ่มวันนี้..
เพื่อมาดูแพทย์..(เอากะเค้าสิ..)

มีแม้กระทั่ง..ควักมือถือ..มาอวดรูปตอนป่วยของแพทย์ด้วย..

เอ่อ..คนไข้คะ

หมอเรียกเก็บค่าสิขสิทธิ์ได้มั้ยคะเนี่ย?



วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

คนที่มีความสุขที่สุดในโลก


คุณทราบไหมคะ?
ว่าในบรรดาคนที่มีความสุขที่สุดในโลก
ฉัน..เป็นหนึ่งในจำนวนคนเหล่านั้น..
....

ประมาณสองเดือนก่อน
ฉันได้มีความสุข..ที่ได้รู้ว่าตัวเองได้รับเสียงโหวตจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล
ให้เป็นคนดีศรีสาธารณสุข ของรพ. ส่งชื่อเข้าชิงระดับจังหวัด
...
ผลคือฉันได้เสียงโหวตเป็นอันดับสองในระดับจังหวัด
และได้เป็นตัวแทนในการนำเสนอโรงพยาบาลของตัวเองในระดับเขต
...
นั่นทำให้ฉันมีค้นพบว่า..
ฉันเป็นหนึ่งในคนที่มีความสุขที่สุดในโลก
...
ฉันเล่าถึงเรื่องความดีของโรงพยาบาล..
และค้นพบว่าโรงพยาบาลอันยุ่งเหยิงของตัวเอง
มี"ดี"มากกว่าที่ตัวเองคิด
...
ฉันค้นพบว่า..
เพื่อนร่วมงาน..ที่ทะเลาะกันบ้าง..ไม่ถูกกันบ้าง..
แต่ยังทำงาน"ร่วมกัน"ได้ดีกว่าที่คาด
...
และสุดท้าย..
ฉันค้นพบว่า..ตัวเองเป็นคนโชคดี..
ที่ได้มีโอกาส..เป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก
...
นั่นเกิดจากการเล่าถึงคนไข้ของฉันคนหนึ่ง
เธอเป็นผู้ป่วยจิตเวช ที่ไม่ได้รับการรักษา
เพราะแม่เธอก็เป็นโรคจิตเวชเหมือนกัน
ปกติเธอจะเดินร่อนเร่ไปมา

บางวันอยู่บ้าน
บางวันอยู่ริมถนน
บางวันก็จะพบเธออยู่ตามไร่..ตามนา..

และบางวันเราจะพบเธอ..ที่รพ.

ฉันพบเธอครั้งแรก
เธอเดิน"หลง"เข้ามาในรพ.
เธอสวมเสื้อสีดำสกปรก
ผมเผ้ารุงรัง เหนียวเหนอะ
สะพายเป้หนึ่งใบ

และท่าทางกระสับกระส่ายหวาดกลัว

ถึงตรงนี้บางคนอาจจะเดาได้แล้ว

เธอเป็นโรคจิตเภท ประเภทหวาดกลัว

เธอกลัวพยาบาลตัวโต
เธอกลัวหมอ
เธอกลัวนั่นกลัวนี่..โดยไม่มีเหตุผลที่สมควร

แต่เธอเดินเข้ามาหาฉัน
มาขอความช่วยเหลือจากฉัน

ช่วยหนูด้วย
หนูไม่สบาย..

เธอทุกข์นะคะ..ทุกข์มาก
ทุกข์จนสามารถเอาชนะความกลัว..ที่เกิดจากโรคของเธอได้
ทุกข์จนกล้า..ที่จะเข้ามาขอความช่วยเหลือ..จากคนที่เธอกลัว

หลังจากพบเธอ
ฉันพบว่าเธอกินยาเองไม่ได้ มักเอายาทิ้งประจำ
เพราะบางครั้งเวลาโรคกำเริบ..เธอก็กลัวยารักษาโรค..และทิ้งยาไป

ฉันวางแผนเปลี่ยนยาเธอเป็นยาฉีด..
โชคดีที่เจ้าหน้าที่รพ.ทุกระดับ ช่วยฉัน ช่วยคนไข้ของฉัน
ช่วยเล่าให้ฉันฟังว่า พบเธอที่นั่นที่นี่ เธอกำลังทำอะไรอยู่
ช่วยพาเธอ หลอกเธอให้รอฉันมาสั่งยาฉีดตามกำหนด

ต่อมาเราเริ่มประสานทีมเยี่ยมบ้าน
สร้างจิตอาสาในชุมชน
ให้คอยดูแลการกินยาของเธอ

จากจิตอาสาคนเดียว
เป็นจิตอาสาหลายคน

ค่อยๆดูแล..จนปัจจุบัน
คนไข้ของฉัน..ไม่ร่อนเร่ไปไหนอีกแล้ว
เธอดูแลตัวเองในเรื่องพื้นฐานได้ครบปัจจัยสี่
แม้จะยังจัดยากินเองไม่ได้..แต่ไม่กลัวยาอีกแล้ว

รพช่วยเธอ..จิตอาสาช่วยเธอ
และปัจจุบัน
เธอเข้ามาเป็นจิตอาสา
ช่วยพับแผ่นพับให้รพ.
เธอช่วยรพ...และช่วยผู้ป่วยรายอื่นต่อไป

วันนี้คนไข้ของฉันมีความสุขแล้วค่ะ

และสิ่งที่ยืนยันให้ฉันได้รู้ตัวเองว่า

"ฉันเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก"

คือภาพวาดแผ่นหนึ่งที่คนไข้รายนี้ส่งมาให้ฉัน

คิดว่าคงไม่ต้องบอก..และไม่ต้องอธิบายมากความ

คนไข้จิตเวช..ที่เดิมร่อนเร่ไปมา

วันนี้..มีความสามารถถึงขนาดนี้แล้ว

เธอช่วยฉัน...เติมเต็มบางสิ่งในหัวใจฉัน..

และทำให้ฉัน..ได้มีโอกาส..

"เป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก"